ประวัติศาสตร์การปฏิวัติเม็กซิโก
ประเทศเม็กซิโกมีผืนดินกว้างใหญ่ไพศาล เป็นเมืองขึ้นของประเทศสเปนมาเป็นเวลา 300 ปี ต่อมาได้สูญเสียที่ดินให้อเมริกาไปกว่าครึ่งประเทศ ระบอบเจ้าที่ดินใหญ่--เรียกว่ากาซิเก (Cacique) หรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น--มีอำนาจปกครองอยู่ในท้องถิ่นต่างๆคู่กับส่วนกลางอย่างไม่เป็นทางการ
ประวัติศาสตร์ยุคใหม่เริ่มต้นเมื่อนายพลฟอร์ฟิริโอ ดิอาซ (1830-1915) นายทหารหนุ่มในกองทัพของประธานาธิบดีเบนิโต ฮัวเรซ ได้บัญชาการนำกำลังเข้าต่อสู้กับกองทัพฝรั่งเศสที่ยกเข้ามายึดรัฐพวยบลาเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1862 จนฝรั่งเศสพ่ายแพ้ การรบครั้งนี้เรียกว่า “ยุทธการพวยบลา“ ทำให้ดิอาซกลายเป็นวีรบุรุษของชาติ วันที่ 5 พฤษภาคมได้รับการประกาศเป็นวันสำคัญประจำชาติที่มีการเฉลิมฉลองทั่วประเทศมาจนถึงทุกวันนี้ เรียกกันว่าวัน Cinco de Mayo ซึ่งในภาษาสเปนแปลว่า ”5 พฤษภาคม”
ต่อมานายพลดิอาซลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแข่งกับเบนิโต ฮัวเรซเจ้านายเก่า และได้รับการเลือกติดต่อกันมาตลอดตั้งแต่ปี 1876-1911 ดิอาซปกครองด้วยระบอบเสรีนิยมทางเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ต่อเจ้าที่ดิน คนรวยและบริษัทต่างชาติ เขาไม่สนใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นเกษตรกร ทำให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวนาไร้การศึกษายากจนลงและสูญเสียที่ทำกิน
ปี 1906 คนงานเหมืองแร่ทองแดงของบริษัทอเมริกันหยุดงานประท้วง ดิอาซยินยอมให้สหรัฐอเมริกาส่งกองทัพจากรัฐอริโซน่าเข้ามาปราบปรามคนในชาติของตนเอง
การสืบทอดอำนาจอย่างยาวนานด้วยวิธีเผด็จการและฉ้อฉล เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นและการผูกขาดทางเศรษฐกิจ สร้างความไม่พอใจให้ชนชั้นกลางที่มีแนวคิดเสรีนิยมอย่างฟรันซินโก มาเดโรซึ่งเป็นนักอุดมคติจากตระกูลมั่งคั่งที่สุดตระกูลหนึ่งของประเทศ
ในเดือนตุลาคมปี 1910 มาเดโรเรียกร้องชาวเม็กซิกันให้โค่นล้มระบอบสามานย์ของนายพลดิอาซ วันที่ 20 พฤศจิกายนปีเดียวกันเกิดการลุกฮือขึ้นทั่วประเทศ มีผู้นำชาวนาจากทุกภาคเข้าร่วมด้วย เช่นปานโช วีญาผู้นำชาวนาภาคเหนือ อีมิเลียโน ซาปาตาผู้นำชาวนาภาคใต้ เป็นต้น วันที่ 25 พฤษภาคม 1911 นายพลดิอาซลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ เป็นการสิ้นสุดระบอบเผด็จการทหารโดยคณะบุคคลตระกูลเดียวที่ปกครองยาวนานติดต่อกันกว่า 35 ปี
วันที่ 6 พฤศจิกายน 1911 ฟรันซิสโก มาเดโรได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี เขามีความมุ่งมั่นโค่นล้มระบบเผด็จการที่ใช้อำนาจกดขี่ประชาชน แต่ขาดประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีวิสัยทัศน์ในการนำประเทศ พื้นฐานของเขามาจากตระกูลเจ้าที่ดินใหญ่ จึงดำเนินนโยบายที่ไม่กระทบผลประโยชน์ชนชั้นบน ทำให้ชนชั้นล่างไม่มีชีวิตที่ดีขึ้นทั้งๆที่เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนเขาให้ขึ้นมามีอำนาจ เขาแต่งตั้งข้ารัฐการจากระบอบเดิมเข้ามาบริหาร วีญาและซาปาตาซึ่งเคยระดมชาวนาลงคะแนนเสียงช่วยให้มาเดโรได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งได้นำชาวนาลุกขึ้นเรียกร้องและเสนอแผนให้มีการปฏิรูปที่ดิน แต่กลับถูกประธานาธิบดีส่งกองทัพมาปราบปราม ต่อมาปัสควาล โอโรซโก นายทหารหนุ่มที่ถูกส่งมาปราบได้กลายเป็นกบฏเสียเอง
การลุกฮือประท้วงทั่วประเทศกลายเป็นสงครามกลางเมือง ส่งผลกระทบต่อชีวิต ทรัพย์สิน และผลประโยชน์ของนักลงทุนชาวอเมริกัน ประธานาธิบดีเฮ็นรี วิลสันของอเมริกาจึงสนับสนุนนายพลวิคตอเรียโน ฮัวร์ตาขึ้นมาบีบให้ประธานาธิบดีมาเดโรและรองประธานาธิบดีปิโน ซัวเรซลาออกเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ทั้งคู่ถูกจับในปี 1913 และในระหว่างถูกนำตัวไปเข้าคุกทั้งสองก็ถูกสังหารโดยคำสั่งลับของนายพลฮัวร์ตา
การรัฐประหารและฆาตกรรมประธานาธิบดีก่อให้เกิดการลุกฮือขึ้นทั้งประเทศและกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่ยาวนานเกือบ 20 ปี เวนัสเตียโน การ์รันซาผู้ว่าการรัฐกัวฮุยลาเป็นกบฏนำกองกำลังเข้าสู้กับทหารรัฐบาล ปานโช วีญาร่วมกับนายพลปัสควาล โอโรซโกตั้งกองทัพชาวนาภาคเหนือ ขณะที่อีมิเลียโน ซาปาตาก็ตั้งกองกำลังผู้นำชาวนาภาคใต้ ร่วมมือกันต่อสู้กับรัฐบาลทหารของนายพลฮัวร์ตา
การประชุมสหภาพผู้ต่อต้านนายพลฮัวร์ตา หรือที่มีชื่อเรียกเป็นทางการว่าฝ่ายสนับสนุนรัฐธรรมนูญ (Constitutionalists) ที่รัฐอาวัสกาเลียนเตสนั้น ได้เกิดความไม่ลงรอยกันในจุดหมายของการต่อสู้ ฝ่ายวีญากับซาปาตาต้องการให้มีการปฏิรูปที่ดินโดยยึดที่ทำกินคืนให้ชาวนาทันที แต่ฝ่ายการ์รันซาต้องการให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เกิดการแตกแยกเป็นสองขบวนการที่หันมาต่อสู้กันเอง อัลวาโร โอเบรกอนนายทหารที่สำเร็จจากยุโรปจับมือกับการ์รันซาเข้าปราบฝ่ายวีญาและซาปาตา
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในวันที่ 15 เมษายน 1914 เมื่อกองทหารของนายพลโอเบรกอน สามารถเอาชนะกองกำลังชาวนาของวีญาได้ใน “ยุทธการเซลายา” โดยโอเบรกอนนำวิทยาการและอาวุธสมัยใหม่จากยุโรปมาใช้ เช่น การตั้งป้อมปืนกลหนักยิงใส่นักรบบนหลังม้า การใช้ลวดหนามขวางกั้นทัพม้า ปลายปี 1915 การ์รันซายึดครองพื้นที่ได้เกือบทั่วประเทศ และต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดีจนถึงปี 1920 การ์รันซาไม่ได้ทำตามสัญญาประชาคมในการปฏิรูปที่ดินและปฏิรูปภาคแรงงาน ซาปาตาและวีญาจึงนำกองกำลังต่อสู้ต่อไปจนกระทั่งซาปาตา ถูกลอบสังหารในปี 1919
วันที่ 23 พฤษภาคม 1920 นายพลโอเบรกอนไม่เพียงก่อกบฏยึดอำนาจจากประธานาธิบดีการ์รันซาแต่ยังสังหารประธานาธิบดีที่เขาเคยสนับสนุน วีญายอมทำสัญญาสงบศึกกับโอเบรกอนโดยได้รับที่ดินผืนใหญ่ในรัฐดูรังโกทางภาคเหนือแลกเปลี่ยนแลกกับการหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เพียง 3 ปีต่อมาวีญาก็ถูกลอบสังหารอย่างลึกลับในวันที่ 20 กรกฎาคม 1923 เป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นคำสั่งจากนายพลโอเบรกอน
เมื่อหมดยุคปานโช วีญา ในปี 1926 ได้เกิดขบวนการกบฏคริสเตโรที่ใช้ศาสนาแคธอลิคเป็นธงนำในการต่อสู้เพื่อคนยากจน และทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายรัฐบาลจนกระทั่งถูกปราบลงในปี 1929 ถือเป็นการสิ้นสุดของยุคการปฏิวัติเม็กซิโก แต่ตำนานการปฏิวัติเม็กซิโกก็ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ขบวนการต่อสู้ของชาวไร่ชาวนายากจนในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและประเทศอื่นๆทั่วโลกมาถึงทุกวันนี้