ทันทีที่ตีพิมพ์ในปี 1920 ถนนชีวิต (Main Street) ก็กลายเป็นหนึ่งในนวนิยายไม่กี่เล่ม ที่มิใช่เพียงสร้างปรากฏการณ์ในแวดวงวรรณกรรม แต่ยังก่อแรงสั่นสะเทือนต่อพลเมืองอเมริกันทั่วทั้งประเทศ เรียกได้ว่าไม่มีชาวอเมริกันคนไหนไม่ได้อ่านนวนิยายเล่มนี้ และ Main Street ก็ได้กลายเป็นคำที่ถูกบัญญัติในพจนานุกรมอเมริกัน ที่มีนัยยะถึงความเป็นบ้านนอกและใจคับแคบ ชื่อของหนุ่มภูธรจากมินนีโซต้า ผู้ก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครรู้จักได้กลายเป็นนักเขียนชื่อกระฉ่อนในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาที่โจมตีขนบธรรมเนียมดั้งเดิมและความ “มือถือสากปากถือศีล” ดังที่กวีและนักวิจารณ์ มัลคอล์ม โควลี่ย์ กล่าวไว้หลังจากนั้นไม่กี่ปีว่า
“คนอเมริกันที่ซื้อหนังสืออ่านมีจำนวนสองถึงสามแสนคน หากนวนิยายสักเล่มมียอดขายประมาณนี้ ก็หมายความว่า ต้องมีผู้อ่านที่อยู่ในหมู่บ้านไกลปืนเที่ยงรวมอยู่ด้วย ซึ่งบ้านหลังหนึ่ง ๆ ในถิ่นห่างไกลเหล่านี้ในชั่วอายุคนหนึ่งมีหนังสือไม่เกินสิบเล่มบนชั้นหนังสือ ทว่าในปี 1921 ในห้องรับแขกของไม่ว่าโรงเตี๊ยมไหน คุณย่อมเห็น ถนนชีวิตวางอยู่ระหว่าง ไบเบิ้ล กับ เบนเฮอร์”
แน่นอนยอดขาย 250,000 เล่มภายในไม่กี่เดือน และสองล้านเล่มในชั่วเวลาไม่กี่ปีหลังจากตีพิมพ์ครั้งแรก ทำให้ ถนนชีวิต กลายเป็นนวนิยายอเมริกันที่ขายดีที่สุด และอาจทรงอิทธิพลที่สุดด้วยตลอดช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี1900 ถึง 1925 ลุดวิก ลูวิซอห์นถึงกับกล่าวว่า “น่าจะไม่มีนวนิยายเล่มใดนับจาก กระท่อมลุงทอม ที่ส่งผลสะเทือนลึกล้ำกว้างขวางต่อพื้นผิวชีวิตของคนในชาติเท่านี้อีกแล้ว”
เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้ ถนนชีวิต ตรึงใจผู้อ่านได้อย่างฉับพลันเช่นนี้ก็เพราะนวนิยายได้พูดแทนสิ่งที่อยู่ในใจของคนจำนวนมาก ในค.ศ.นั้น ชาวอเมริกันโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เติบโตจากเมืองเล็ก ๆ หรือท้องถิ่นห่างไกลความเจริญ (แม้การอพยพเข้าสู่เมืองใหญ่ ๆ เริ่มต้นขึ้นแล้ว) ผู้อ่านนวนิยายเล่มนี้ส่วนใหญ่จึงคุ้นเคยกับบรรยากาศของถนนสายหลักหรือเมนสตรีทที่ตัดผ่านหมู่บ้านของตนที่แทบไม่ต่างไปจากโกเฟ่อร์แพรรี่ของซินแคลร์ ลูอิ๊ส
ถนนชีวิต สะท้อนภาพความจริงอย่างตรงไปตรงมาของชีวิตชาวอเมริกันหลายล้านคน และทำให้ผู้อ่านนึกถึงตัวเองและสังคมที่ตนอยู่ ลูอิ๊สเขียนไว้ในร่างอัตชีวประวัติสำหรับคณะกรรมการพิจารณารางวัลโนเบลว่า “มีหลายแสนคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยความแสบสันต์ถึงทรวงเหมือนกำลังสูดฟันซี่ที่ปวด” นักอ่านหญิงท่านหนึ่งบรรยายความรู้สึกว่า “ฉันเคยอยู่ในทุก ๆ หน้าของ ถนนชีวิต เป็นเวลาสิบห้าปี”
อาจกล่าวได้ว่า นวนิยายเล่มนี้ได้ปลดเปลื้องชาวอเมริกันจากมายาคติที่ยึดถือกันมานานนมว่า ในแถบถิ่นมิดเดิ้ลเว้สต์เท่านั้นที่คุณได้พบกับดินแดนของพระเจ้า หรือดังภาษิตประจำถิ่นที่ว่า “ทุ่งต้องกว้าง ใจจึงกว้างได้ เขาต้องสูง เป้าหมายจึงสูงได้” หรือความเชื่ออย่างภาคภูมิใจว่าเมืองเล็ก ๆ ของอเมริกาได้บรรลุความเป็นประชาธิปไตยที่เรียบง่ายและสมบูรณ์แบบที่สังคมล้าสมัยอื่น ๆ ไม่รู้จัก และความเชื่ออย่างฝังรากว่า “สุภาพสโมสร ครอบครัว โบสถ์ ธุรกิจมั่นคง พรรคการเมือง ประเทศชาติ อภิเผ่าพันธุ์ผิวขาว” คือคำตอบสำเร็จสำหรับความสมบูรณ์พูนสุข กล่าวโดยสรุปก็คือ ถนนชีวิต พุ่งหอกใส่วัฒนธรรมบ้านนอกอเมริกันที่เต็มไปด้วยความลำพองตน และเหวี่ยงคำเยาะหยันและข้อกังขาใส่ศาสนศรัทธาที่แสนคับแคบในจิตใจ
ซินแคลร์ ลูอิ๊ส คงเขียนถึงโกเฟ่อร์แพรรี่ด้วยความรู้สึกที่มีทั้งรักทั้งชัง ทั้งเอ็นดูและหยามหยันเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอนหากตัวเขาเองมิได้เป็นผลิตผลของสังคมบ้านนอกอย่างเมืองโซ้คเซ็นเต้อร์ที่เขาเกิดและเติบโต โซ้คเซ็นเต้อร์เป็นเมืองเล็ก ๆ กลางทุ่งแพรรี่ในรัฐมินนีโซต้า มีประชากรในปีที่เขาเกิด ค.ศ. 1885 เพียง 1,200 คน ดังนั้นลูอิ๊สจึงคุ้นเคยกับตัวละครและรู้จักกับสิ่งที่เขาเขียนเป็นอย่างดี แต่ก็เป็นไปได้ว่า กว่าเริ่มลึกซึ้งกับมันก็เมื่อเขาได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดพร้อมกับแฟนสาวชาวกรุงพิมพ์เดียวกับแคโรล เค็นนิข็อตต์ ตัวละครหลักผู้ดำเนินเรื่องใน ถนนชีวิต เขาเริ่มมองผ่านสายตาอันแปลกแยกแบบเฟมินิสต์ของแฟนสาวของเขา แล้วร่างความคิดนวนิยายชีวิตชาวเมืองเล็ก ๆ ก็หลอนอยู่ในหัวเขาอีกหลายปีจากนั้น
แต่ความจริง ประกายความคิดของนวนิยายเรื่องนี้ได้ผุดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้ว ในราวต้นปี 1905 ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่เยล เค้าโครงที่ต่อมากลายเป็น ถนนชีวิต ได้เริ่มก่อร่างขึ้นขณะการสนทนาหลายต่อหลายครั้งกับชาร์ลส์ ดอเรียน เพื่อนทนายความ นักอ่านและนักฝัน ผู้ไม่พอใจชีวิตในโซ้คเซ็นเต้อร์ แต่ก็เฉื่อยเนือยเกินกว่าจะดิ้นรนหนีจากมันมา ในอนุทินของเขา ลูอิ๊สบันทึกบทสนทนานั้น และเรียกสิ่งที่ดอเรียนประสบอยู่ว่า ภาวะติด “เชื้อไวรัสหมู่บ้าน” (village virus) “ฉันต้องเขียนหนังสือที่มันเข้าถึงเลือดเนื้อของคน และความจริง ‘พระเจ้าสร้างแผ่นดิน คนสร้างเมือง...แต่ปีศาจสร้างหมู่บ้าน’ ที่ในเมืองใหญ่ เราไปหาเพื่อนหรือไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ แต่ในโซ้คเซ็นเต้อร์ไม่มีอะไรทำเลยนอกจากดื่มและเล่นโป๊กเกอร์(สำหรับคนที่ไม่อ่านหนังสือ)” ลูอิ๊สกล่าวในเวลาต่อมาว่าเขาเคยเขียนนวนิยายเล่มหนึ่งก่อนหน้านี้กว่า 200,000 คำ และให้ชื่อว่า The Village Virus แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นต้นฉบับของเรื่องที่ว่านี้
แนวคิดที่จะเขียน ถนนชีวิต ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของลูอิ๊สตลอดจนกระทั่งทศวรรษต่อมา ในช่วงที่เขามีผลงานนวนิยายสามเรื่อง กับเรื่องสั้นอีกจำนวนมาก และภายหลังจากการใช้ชีวิตแบบ “โบฮีเมี่ยนวิถี” ในหมู่บ้านกรีนิชในนิวย้อร์คอยู่หลายปี เขาก็ควงภรรยากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด และได้เห็นปฏิกิริยาของเกรซี่ที่มีต่อสิ่งที่เขาคุ้นชินกับมันตั้งแต่เด็ก ตัวอย่างเช่น เวลาที่เธอไปร่วมประชุมกับสโมสรเกรดาทิม (ซึ่งกลายมาเป็นสโมสรมรณานุสติใน ถนนชีวิต) และอภิปรายเรื่องหัวข้อวรรณคดีในปีต่อไป แต่สุดท้ายกลับลงมติให้อุทิศเวลาการศึกษาทั้งหมดกับพระคัมภีร์
หลังกลับจากเยี่ยมบ้านเกิด ลูอิ๊สรู้ทันทีว่านวนิยายของเขาต้องดำเนินไปในแนวใด ตัวละครที่ถอดแบบมาจากชาร์ลส์ ดอเรี่ยนที่เขาให้ชื่อว่ากาย พอลล็อค ถูกผลักถอยไปเป็นฉากหลัง และแกนหลักของนวนิยายกลายเป็นแคโรล ที่บุคลิกส่วนใหญ่อิงมาจากเกรซี่ภรรยาของเขา แคโรล เค็นนิข็อตต์ สาวชาวกรุงหัวสูง ผู้รักศิลปะ เต็มไปด้วยความฝัน แต่ก็เต็มไปด้วยความฉาบฉวยและถือดี อันเป็นขั้วขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับความอัปลักษณ์และรสนิยมที่เน้นประโยชน์ใช้สอยของโกเฟ่อร์แพรรี่ และแน่นอนความเป็นจริงที่เธอเห็นช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหวกับจินตภาพความงดงามของชีวิตชนบทที่เธอได้อ่านจากวรรณคดี
...พร้อมจินตภาพจากวรรณคดีล้วน ๆ –หมู่บ้านอันแสนงดงาม ดอกฮอลลี่ฮ็อค ทางเกวียน และชาวกระท่อมแก้มปลั่งเป็นลูกแอ๊ปเปิ้ล แต่สิ่งที่เห็นคือด้านข้างของโบสถ์เซเว่นเดย์แอ๊ดเวนทิสต์ ที่ผนังมุงไม้แผ่นเรียบสีตับบูดกับกองขี้เถ้าด้านหลัง คอกม้าไม่ได้ทาสี กับตรอกที่มีรถส่งของยี่ห้อฝอร์ดจอดอยู่
และเมื่อแคโรลก่อตั้งกลุ่มการละครขึ้นในโกเฟ่อร์แพรรี่ ความวาดหวังไว้ว่าละครที่เธอกำกับจะต้องสะเทือนใจอย่างยี้ตส์ ประเทืองปัญญาอย่างชอว์ และฉากสวยงามอย่างมีศิลปะอย่างกอร์ดอน เคร้ก ทว่าระดับเท่าที่พอจะให้เธอกับชาวเมืองมาเจอกันก็ได้แค่เพียงละครโปกฮาชั้นต่ำเรื่อง “หญิงสาวจากแคงกากี้” ที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังยอมรับว่า “นี่คือละครห่วยที่แสดงได้อย่างน่ากระอักกระอ่วนใจที่สุด” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ความหวังของแคโรลพังทลาย และหลายครั้งที่ผู้อ่านรู้สึกขบขันถึงขั้นหัวเราะเยาะกับความมุ่งมาดปรารถนาของเธอ แต่ก็ไม่ถึงกับไร้ความเห็นใจเพราะอย่างน้อยเธอก็พยายามเพื่อสิ่งที่ดีกว่า อย่างน้อยเธอก็ยืนกรานที่จะไม่พอใจกับความดาดๆที่มองแต่ประโยชน์ใช้สอยจนไม่เห็นคุณค่าความงาม
เมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี 1917 ลูอิ๊สรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากในทันใด กระแสความเกลียดชังเยอรมันทำให้เขาไม่สามารถพูดได้อย่างอิสระ เพราะไม่ว่าพูดอะไรก็มีสิทธิ์ถูกเหมาว่าเป็นพวกต่อต้านอเมริกันได้หมด ดังเช่น ยูยีน เด๊ปส์ ผู้นำกรรมกรที่เป็นวีรบุรุษคนหนึ่งของลูอิ๊สถูกจับเข้าคุก เพียงเพราะแสดงความเห็นว่าสหรัฐอเมริกาไม่ควรไปยุ่งกับสงคราม เขาต้องรออีกสามปี จึงสามารถระบายความรู้สึกต่อกระแสชาตินิยมไม่ลืมหูลืมตาในช่วงสงครามได้ใน ถนนชีวิต
อารมณ์หลังสงครามที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถามต่อค่านิยมและการปลุกเร้ากระแสชาตินิยมของอเมริกันนั้นสอดคล้องกับความคิดความเชื่อของลูอิ๊ส ถนนชีวิต นับว่าตีพิมพ์ในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะเจาะ ที่ผู้คนมากมายไม่เพียงศิลปิน ปัญญาชน แต่พลเมืองอเมริกันทั่วไปเริ่มแลกเปลี่ยนข้อข้องใจต่อกัน ดังนั้นความสำเร็จของนวนิยายเล่มนี้จึงมิใช่มาจากอัจฉริยภาพของเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าวุฒิภาวะชาวอเมริกันสุกงอมพร้อมแล้วที่กลืนยาขมจากตัวหนังสือของเขา
*****
ข้อวิจารณ์หนึ่งที่นักเขียนรุ่นหลังแนวทดลองอย่าง เฮมิ่งเวย์ มีต่องานเขียนของลูอิ๊สก็คือ มันโน้มเอียงไปทางสังคมวิทยามากกว่าจะเป็นงานศิลปะ แต่ก็อาจมองได้อีกมุมว่างานเขียนของลูอิ๊สก็เป็นงานทดลองในตัวมันเอง ที่มีความสำเร็จเป็นเครื่องการันตี การเล่ารายละเอียดต่าง ๆ ด้วยชั้นเชิงแบบนักข่าวในถนนชีวิต สามารถสื่อสารกับผู้อ่านร่วมสมัยได้อย่างแจ่มชัด และแม้ว่ามีสิ่งต่าง ๆ ที่บัดนี้กลายเป็นเพียงวัตถุโบราณปรากฏอยู่มากมายในเรื่อง แต่นั่นก็หาได้ทำให้สาระที่สะท้อนอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องไกลตัว กล่าวได้ว่า ลูอิ๊สพัฒนางานเขียนของเขาภายในกรอบจารีตแองโกล-อเมริกัน มิได้ทลายหรือสร้างกฎใหม่อย่างนักเขียนร่วมสมัยเดียวกับเขาอย่างเจมส์ จ๊อยซ์
ลูอิ๊สหยิบประเด็นทางสังคมและประวัติศาสตร์มาผสานเข้ากับนวนิยายของเขาได้อย่างกลมกลืน ถนนชีวิต คือภาพตัวอย่างของอภิปัญหาอมตะ -การเอารัดเอาเปรียบชาวนาของคนเมือง นอกจากนี้มันยังพื้นที่ของการระบายความคับแค้นใจของลูอิ๊สจากการเป็นเป้าเกลียดชังของลัทธิคลั่งชาติในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
ในการวาดภาพเหมือนชีวิตคู่อันลุ่ม ๆ ดอน ๆ ของตนเอง ผ่านตัวละครแคโรลและเค็นนิข็อตต์ ลูอิ๊สได้แทรกความเห็นลงในบทวิวาทะทางวัฒนธรรมว่าด้วยการแต่งงานและบทบาทสตรีทั้งในและนอกบ้าน หากเปรียบกับตัวละครโศกอย่างนอร่า เฮลเม่อร์ใน A Doll’s House (1879) ของเฮนริค อิ๊บเซ่น ที่สั่นคลอนจารีต (ในสมัยนั้น) อย่างรุนแรง ด้วยการทิ้งสามีและลูกเพื่อเรียนรู้การเป็นมนุษย์ที่มีอิสระอย่างเต็มที่ แคโรลกลายเป็นผู้หญิงดาด ๆ ที่บางครั้งก็เพ้อเจ้อไปเลย หากแต่ความทุกข์ของผู้หญิงอย่างแคโรลนั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง และปัญหาและสภาพการณ์ที่ทำให้เธอแยกจากสามีก็เป็นสิ่งที่เราพบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คำพูดของแคโรลที่ว่า “ฉันพยายามรักษาวิญญาณตัวเอง” มุ่งหมายในผู้อ่านรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ออกมาจากใจเธอจริง ๆ
ในเชิงสังคมวิทยา ผัวเมียเค็นนิข็อตต์ยังอยู่ในยุคความไม่เท่าเทียมของชายหญิง ผู้ชายยังอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานอยู่ฝ่ายเดียว ขณะที่ผู้หญิงอยู่เหย้าเฝ้าเรือนและมีเวลาคิดฟุ้งซ่าน การคลี่คลายปัญหาคู่ของเค็นนิข็อตต์ของลูอิ๊สสวนทางกับการคาดเดาของผู้อ่าน แทนที่ทำให้แคโรลเป็นฝ่ายได้รับความเห็นใจ เขากลับเสริมวิลล์ที่บ่อยครั้งดูทึ่มให้มีบุคลิกแข็งแกร่ง และหลายครั้งทำให้ผู้อ่านรู้สึกเห็นใจ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ในคำนำของนวนิยายเล่มนี้ฉบับที่ตีพิมพ์ปี 1937 ลูอิ๊สได้ยอมรับว่าแคโรล “ไม่ได้นิสัยดีอย่างสามีเธอ... ผมคิดอย่างละเอียดรอบคอบที่สุดแล้วว่า เธอไม่ควร-เธอควรแค่ฉลาดพอวิจารณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ไม่ควรฉลาดพอทำอะไรได้”
ถนนชีวิต แม้สะท้อนวิถีอเมริกัน แต่ดังที่เบอร์หนาร์ด ชอว์เคยกล่าวไว้ว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ของลูอิ๊สนั้นสามารถนำไปใช้ได้กับชาติอื่น ๆ ด้วย และจอห์น กัลส์เวอร์ธี่ นักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษย้ำว่า “ทุก ๆ ประเทศล้วนมีเมนสตรีทของตน” เกือบศตวรรษผ่านไป สิ่งที่ปรากฏในนวนิยายเรื่องนี้ยังคงจริงอยู่ และมิใช่จริงเฉพาะเมนสตรีท แต่บนถนนสายหลักและสายทุนนิยมทุกแห่งทั่วโลกด้วย และแม้ลูอิ๊สบอกว่านวนิยายของเขาคือ “ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย” ที่ฉายภาพเหตุการณ์ ณ สถานที่และเวลาหนึ่ง ทว่ามันได้พูดแทนยุคสมัยของเราด้วย หลายสิ่งยังล้อกับยุคสมัยของเราได้อย่างเหมาะเจาะ โกเฟ่อร์แพรรี่ในช่วงสงครามไม่ต่างกับโลกปัจจุบันในภาวะสงครามก่อการร้าย วิธีคิดแบบวิลล์ เค็นนิข็อตต์ที่ว่า “เมื่อใดที่เป็นปัญหาของการปกป้องชาติบ้านเมือง และสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การเก็บหลักข้อบังคับปรกติขึ้นก่อนก็เป็นเรื่องสมควร” สามารถอ่านพบได้ตามหน้าบทบรรณาธิการทุกวันนี้
ลูอิ๊สต่างกับนักเขียนร่วมสมัยของเขา เขาไม่เคยพยายามแสวงหาคำตอบจากอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ว่าสายใด เขาเกลียดเผด็จการ และไม่วางใจในวิจารณญาณของ “ประชาชน” เขาเชื่อในจิตวิญญาณเสรีที่อ่อนไหวและรู้จักพลาดพลั้ง ดังที่เขาเขียนไว้ในหมายเหตุของ It Can’t Happen Here ว่า “แม้พวกคอมมิวนิสต์และฟ้าสซิสต์หรือทั้งคู่จะครอบครองโลก เสรีนิยมก็ยังต้องเดินหน้ารักษาอารยธรรมต่อไป แม้จะไม่มีหวังก็ตาม”
แม้ว่านวนิยายเชิงสังคมวิทยาในแบบฉบับของลูอิ๊สจะห่างหายจากความนิยมไปหลังการเสียชีวิตของเขา และถูกมองข้ามเป็นเวลาหลายทศวรรษหลังจากนั้น ทว่าเมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งกลับมาซาบซึ้งในงานเขียนที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงวรรณศิลป์ของเขา และเราคงได้แต่เพียงขอบคุณในสิ่งที่เขาบอกเราถึงวิถีอเมริกันในยุคสมัยของเขาและของเรา
(แปลและเรียบเรียงจาก "คำนำเสนอ" โดย Brooke Allen ใน Main Street จัดพิมพ์โดย Barnes&Noble Classics, 2003)