“ไม่ใช่สัตว์หรอก ฟังดูเสียงเห่าของพาโลโมสิ....คงจะเป็นคนมากกว่า”
ผู้หญิงเพ่งสายตาออกไปยังทิวเขาที่มองเห็นรางๆข้างนอก
"อาจจะเป็นทหารรัฐบาล” ฝ่ายชายที่นั่งขัดสมาธิแบบอินเดียนแดงพูดขึ้น ขณะมือขวาถือจานดินเผาและมือซ้ายหยิบม้วนแป้งข้าวโพดตอร์ตีญาเข้าปาก
หญิงสาวนิ่งเงียบไม่ตอบ แต่เพ่งสมาธิออกไปนอกกระท่อม เสียงกีบเท้าม้าย่ำใกล้เข้ามา พาโลโมเห่าดังยิ่งขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“เดเม-ตริโอ ถ้าให้ดีละก็ พี่น่าจะไปซ่อนตัวเสียก่อน”
ฝ่ายชายหยุดกิน หยิบเหยือกน้ำขึ้นรินใส่ลำคออย่างใจเย็น แล้วยืนขึ้น
“ปืนของพี่อยู่ใต้เสื่อ” หญิงสาวกระซิบบอก
แสงเทียนสลัวในห้องเล็กส่องให้เห็นเครื่องมือการเกษตรหลายอย่าง เช่น คันไถ เคียว แอก ปฏัก และอื่นๆ มีเชือกผูกห้อยลงมาจากขื่อยึดเบ้าหล่ออิฐเก่าคร่ำคร่าซึ่งถูกใช้แทนเปล ทารกน้อยที่คลุมตัวด้วยผ้าขี้ริ้วสีเทานอนหลับอยู่บนนั้น
เดเมตริโอคาดเข็มขัดกระสุนปืนเข้าที่เอวและหยิบปืนยาวขึ้นมา เขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ สมบูรณ์ ใบหน้าสดใสไร้หนวดเครา เขาสวมเสื้อและกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวพร้อมหมวกปีกกว้างและรองเท้าแตะหนังเหมือนชาวนาเม็กซิกันทั่วไป
เขาย่างเท้าช้าๆทีละก้าวออกจากห้อง หายไปในความมืดยามราตรี
พาโลโมมีอาการตื่นตระหนก กระโดดข้ามรั้วไม้ออกไป ทันใดนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น ตามด้วยเสียงหมาครางแล้วเงียบไป ชายบางคนบนหลังม้าตะโกนและสบถ จากนั้นสองคนลงจากหลังม้า คนที่เหลือคอยเฝ้าม้าอยู่ด้านนอก
“เฮ้ น้องสาวนั่น เราต้องการอาหาร! ขอไข่ นม ถั่ว และอะไรก็ได้ที่มีอยู่ เราหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้ว”
“ทิวเขานรก! มีแต่ปีศาจเท่านั้นที่ไม่หลงทาง!”
“ไอ้ผู้หมู่ซังกะบ๊วย หากเจ้าปีศาจตัวนั้นเมาแอ๋อย่างมึงก็คงหลงทางเหมือนกันแหละวะ”
ชายคนแรกที่พูดมีบั้งติดบนบ่า ส่วนคนที่สองมีแถบสีแดงติดแขนเสื้อ
“นี่คือที่ไหนกัน น้องสาว หรือว่าเป็นบ้านร้างถูกละทิ้ง พระเจ้าช่วย!”
“มันไม่ใช่บ้านร้างเว้ย ไม่เห็นแสงไฟ ไม่เห็นเด็กนั่นเรอะ แหกตามองสิ....พวกข้าหิวจะตายอยู่แล้ว รีบหาอะไรมาให้เรากิน จะเอามาให้ หรือจะให้เราบังคับ”
“เจ้าสารเลวสองคน พวกแกฆ่าหมาของข้า! มันไม่เคยทำร้ายแก ทำไมต้องฆ่ามัน”
หญิงสาวเดินลากศพหมาตัวโปรดกลับเข้าบ้าน มันเป็นหมาสีขาวอ้วนท้วน นัยน์ตาลืมค้างไร้แวว ร่างอ่อนปวกเปียก
“หมู่ แกดูแก้มแดงเหมือนแอ๊ปเปิ้ลของหล่อนสิ! ที่รัก อย่าขุ่นเคืองไปเลย ข้าสัญญาว่าจะเปลี่ยนกระท่อมของเจ้าให้เป็นเรือนนกพิราบ 1 ”
พลางเขาก็ขับร้องเพลงที่แต่งเองเดี๋ยวนั้นอย่างสุขใจ
ที่รัก...อย่ามองพี่อย่างเย่อหยิ่ง
อย่ามองพี่อย่างตื่นตระหนกพรั่นพรึง
จงเข้ามากอดแล้วบรรจงจูบแก้มพี่
แล้วพี่จะทำให้ทุกข์โศกของเจ้ามลายไป
กลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งจากปากลอยฟุ้งกระจาย
“น้องสาว บอกข้าหน่อยซิ ถิ่นนี้มีชื่อว่าอะไร” หมู่ทหารขี้เมาเปล่งเสียงถาม
“ลีม่อน” หญิงสาวตอบอย่างเสียไม่ได้ หยิบฟืนใส่กองไฟที่จุดไว้ให้ความอบอุ่นและไล่แมลง
“อ้อ เราอยู่ในลีม่อน ถิ่นของไอ้กบฏเดเมตริโอ มาเซียสที่มีชื่อขจรขจายนั่นเอง”
“ลีม่อน? ข้าไม่หวั่นที่มาเหยียบแดนนรกนี้หรอก ผู้หมู่ ข้าจะบุกเข้าไปยังถิ่นของมันด้วยตัวเอง ถึงเจอนรกข้าก็ไม่หวั่น เพราะได้พบสิ่งทดแทนที่คุ้มค่าแล้ว สาวน้อยแก้มแดงเปล่งปลั่งดั่งลูกแอปเปิ้ลที่รอการเชยชมนางนี้ไง!”
“ข้าพนันได้เลยว่าน้องสาวต้องรู้จักไอ้โจรมาเซียสแน่ๆ ข้าเคยพบหน้ามันในคุกที่เมืองเอ๊สโคเบโดครั้งหนึ่ง”
“หมู่ ไปเอาเตกีล่ามาให้ข้าสักขวดซิ คืนนี้ข้าตัดสินใจจะพักแรมนอนกับสาวน้อยผู้มีเสน่ห์คนนี้....อะไรนะ ผู้การเรอะ พระเจ้าช่วย แกมาพูดถึงผู้การอะไรกันตอนนี้ ข้าว่าเขาควรจะไปลงนรกเสียมากกว่า ถ้าเขาไม่พอใจพฤติกรรมของข้า ข้าก็ไม่สนใจ เร็วเข้า บอกจ่าที่อยู่ข้างนอกให้ปลดอานม้าและเตรียมหาอาหารกิน ข้าจะพักค้างคืนที่นี่ละ นี่ น้องสาว ขอให้ไอ้หมู่มันทอดไข่และอุ่นตอร์ตีญาหน่อย ส่วนเจ้ามาหาพี่ ดูนี่สิ กระเป๋าพี่ตุงด้วยแบ๊งค์ใหม่เอี่ยม พี่จะให้เจ้าทั้งหมด ที่รัก พี่อยากให้เจ้าจริงๆ รู้นะว่าพี่เมา พี่กรึ๊บมากไปหน่อย ก็เลยพูดจาไม่สุภาพแบบนี้แหละ พี่อาเจียนออกมาครึ่งหนึ่งที่กัวดาลาฮารา และอีกครึ่งหนึ่งระหว่างเดินทางมาที่นี่ เมาหรือไม่เมาไม่ต้องสนใจหรอก พี่อยากให้เจ้าได้เงินนี้ไป ที่รัก เฮ้ย หมู่ เหล้าอยู่ห..น...า....ย น้องสาว มานั่งใกล้ๆแล้วรินเหล้าให้พี่ เจ้าไม่ยอมใช่ไหม มาซิ....กลัวผัวจะมาเห็นใช่ไหม เขาจะเป็นใครข้าไม่สน ถ้าเขาแอบอยู่ในรูไหน ก็บอกให้เขาออกมาเจอข้า แม้แต่เสือสิงห์ข้าก็ไม่กลัว!”
ทันใดนั้นเงาร่างสีขาวเงาหนึ่งได้ผงาดขึ้นที่ธรณีประตู
“เดเมตริโอ มาเซียส!” หมู่ทหารเปล่งเสียงร้อง ถอยหลังกรูดด้วยความหวาดกลัว
ผู้หมวดขี้เมายืนตัวเข็งเหมือนรูปปั้น ไม่ได้ส่งเสียงใดๆ
“ยิงมัน!” หญิงสาวร้องบอกด้วยเสียงแข็งกร้าว
“ได้โปรดเถิด อย่าได้ฆ่าเราเลย! ข้าไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ข้ายกย่องคนที่มีความกล้าหาญอย่างท่านเสมอ”
เดเมตริโอยืนนิ่งอยู่กับที่ เพ่งมองอย่างเหยียดหยามไปที่พวกเขาจากหัวจรดเท้าและยิ้มเหยียด
“ข้าไม่เพียงแต่ยกย่องนับถือคนกล้า แต่ข้าชื่นชมวีรกรรมของพวกเขาด้วย ข้าภูมิใจและมีความสุขที่จะได้พวกเขามาเป็นเพื่อน ขอจับมือเป็นเพื่อนกันหน่อย” ผู้หมวดขี้เมาเงียบสักพัก ยื่นมือออกมา “เอาละ เดเมตริโอ มาเซียส ถ้าท่านไม่ต้องการจับมือ ก็ไม่เป็นไร! เพราะว่าท่านไม่รู้จักข้า เพราะเจอกันครั้งแรกท่านก็เห็นข้าทำงานเป็นหมารับใช้แบบนี้ แต่จะให้ข้าทำอะไรได้ เพื่อนเอ๊ย! เรามันคนจน มีลูกเมียต้องเลี้ยงดู....หมู่ เราไปกันเถอะ ข้าให้เกียรติบ้านของคนที่กล้าหาญ จริงใจ ซื่อสัตย์ เป็นสุภาพบุรุษแท้จริง!”
เมื่อพวกเขาไปกันแล้ว หญิงสาวเดินเข้าไปหาเดเมตริโอ
“ขอบคุณพระแม่มาเรีย! ฉันกังวลว่าพี่จะถูกพวกมันฆ่าเสียก่อน”
“เจ้าไปที่บ้านพ่อก่อน เร็ว!” เดเมตริโอออกคำสั่ง
หญิงสาวต้องการสวมกอดเขาให้นานที่สุด เธอร่ำไห้และตั้งคำถามอย่างไม่เข้าใจ แต่เขาค่อยๆแกะมือเธอออกจากอ้อมกอด และกล่าวเคร่งขรึมแต่อ่อนโยนว่า ”พวกมันทั้งโขยงต้องยกกำลังกลับมาที่บ้านนี้อีกแน่”
“ทำไมพี่ไม่ฆ่าพวกมัน”
“พวกมันยังไม่ถึงเวลาตาย!”
ทั้งสองเดินออกไปที่ประตูด้วยกัน ฝ่ายหญิงอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน เมื่อก้าวพ้นประตู ทั้งคู่เดินแยกกันไปคนละทิศ
แสงจันทร์ส่องทาบทิวเขาก่อให้เกิดเงารางๆ เขาเดินไปตามทางขรุขระคดเคี้ยว ทุกหัวเลี้ยวเขายังมองเห็นรูปร่างดำๆของผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกเดินลุยไปข้างหน้าอย่างทุกข์ระทม
หลังจากใช้เวลาหลายชั่วโมงเดินข้ามเทือกเขา เขาหันกลับไปมอง ที่ราบในหุบเขาซึ่งมีสายน้ำไหลผ่าน เขาเห็นเปลวเพลิงและควันไฟกลุ่มใหญ่พวยพุ่ง บ้านของเขาถูกวางเพลิงเผาผลาญเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
--------------
1 ตรงนี้ฉบับภาษาสเปนใช้คำว่า palomar เพื่อให้ล้อกับชื่อสุนัข Palomo แปลว่า ”นกพิราบ” palomar แปลว่า ”เรือนนกพิราบ”