มีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่ค้างคาอยู่ในจิตใจของผู้คนมากผู้หลายนาม มันเป็นคำถามค้างศตวรรษ ไม่ใช่แค่ศตวรรษเดียวเสียด้วย แต่ปาเข้าไปถึงห้าศตวรรษ คำถามนั้นก็คือ รอยยิ้มน้อยๆ ด้วยริมฝีปากที่มิดเม้มของโมนาลิซ่านั้นมันมีความหมายเยี่ยงใดกันแน่หนอ
ผู้สัดทัดกรณีต่างมีความเห็นผิดแผกแตกต่างกันไป บ้างก็ว่ามันเป็นรอยยิ้มแห่งความทุกข์เทวษ เพราะว่าเจ้าหล่อนกำลังอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ให้แก่ธิดาของเจ้าหล่อนซึ่งเพิ่งวายชนม์ไปก่อนหน้านั้นไม่นานในขณะที่ยังเป็นแต่เพียงทาริกาน้อยๆ บ้างก็ว่ามันเป็นรอยยิ้มแฝงเลศนัย หล่อนกำลังวางแผนการหาทางหนีทีไล่จะสวมเขาให้สามีของเจ้าหล่อนให้ถนัดถนี่อยู่น่ะซี้ บ้างก็ว่ามันเป็นรอยยิ้มอันเนื่องจากความปวดร้าวบริเวณขากรรไกร เพราะว่าเจ้าหล่อนเพิ่งไปถอนฟันกรามมาตั้งสองสามซี่ก่อนมานั่งเป็นแบบต่างหากเล่า
เป็นอันว่าไม่มีข้อยุติว่าหล่อนยิ้มเยื้อนด้วยความสุขเกษมหรือความเศร้ารันทดกันแน่ แต่ก็เป็นที่ประจักษ์แจ้งกันแน่ชัดว่าผู้หญิงคนนี้มีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวเหนือระดับสามัญ เจ้าหล่อนนั่งเบื้อและยิ้มเยื้อนแฝงความนัยหลายหลากอยู่เช่นนั้นได้ตั้งหลายขยักและนานเน เพราะว่ากว่าพ่อเลโอนาร์โด ดาวินชีจะวาดภาพพอร์ทเทรทของหล่อนเสร็จสมบูรณ์ เขาก็ใช้เวลาอยู่นานถึงสี่ปี คือเขาตั้งต้นวาดตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๕๐๓ และมาเสร็จสมเป็นที่พออกพอใจของเขาเอาในปี ค.ศ. ๑๕๐๗ เจ้าหล่อนนั่งเป็นแบบอยู่ได้อย่างไรเป็นเรื่องชวนฉงน เขาเล่าขานกันว่าพ่อโฉมเอกดาวินชีถึงขนาดลงทุนว่าจ้างนักดนตรีให้มาบรรเลงรมย์ขับกล่อมเจ้าหล่อนไปพลางๆ ด้วยในขณะนั่งเป็นแบบ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ เป็นใครก็ต้องเมื่อยต้องขบกันบ้างหรอก
ลิซ่า เดล โจคอนด้า เกิดในครอบครัวยากจน มีพีน้องหลายคน ในปี ค.ศ. ๑๔๙๕ หล่อนก็โชคดีได้ผัวเศรษฐี เขาชื่อ ฟรานเชสโก้ โจคอนด้า ชาวเมืองฟลอเรนซ์ เขาอายุมากกว่าหล่อน ๑๙ ปี หล่อนเป็นเมียคนที่สามของเขา กระทาชายนายนี้เป็นนายวาณิชผู้มั่งคั่งอู้ฟู่ และตามแบบฉบับของผู้ลากมากดีในยุคสมัยนั้น เขาอยากอุปถัมภ์ศิลปิน เจ้าหล่อนคงไม่ได้เป็นนางแบบผู้มีชื่อเสียงที่สุดตลอดกาลเป็นอันขาดถ้าหากว่าผัวของหล่อนเอาแต่หาเงินงกๆ และไม่มีรสนิยมทางศิลป์เอาเสียเลย ผัวของหล่อนไปติดต่อว่าจ้างเลโอนาร์โด ดาวินชีให้เขียนภาพพอร์ทเทรทของเมียของเขาให้สักหน่อย เขาว่าเขาจะเอาไว้แขวนติดผนังห้องกินข้าวของเขาที่บ้าน ข้างฝ่ายจิตรกรมือเทวดาก็รับคำเป็นมั่นเหมาะ
เลโอนาร์โดคนนี้บังเอิญเป็นอัจฉริยะมหาศาล เก่งฉกาจทั้งในด้านประติมากรรม วิศวกรรมและสถาปัตยกรรม ขอบเขตความในใจของเขากว้างขวางมาก สตูดิโอของเขาก็จึงมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ นานาหลากหลาย อาจเป็นได้ว่าเขาปล่อยให้นางแบบของเขานั่งแล้วเขาก็วาดภาพเสียหน่อยหนึ่ง แล้วก็กลับวางมือเสียฉิบ และหันเหไปศึกษาค้นคว้าเรื่องทางดาราศาสตร์ หรือออกแบบโพยมยานที่จะทำให้มนุษย์บินได้ หรือหมกมุ่นอยู่กับกล้องส่องทางไกล หรือหายไปไหนครั้งละนานๆ กับลูกศิษย์ลูกหาหนุ่มๆ ของเขา (เขามีลูกศิษย์ลูกหาหนุ่มๆ เยอะและนินทากันว่าล้วนแล้วแต่รูปงามทั้งนั้น “ตะละคนล้วนแล้วแต่มีขนตางามงอน” ) ภาพพอร์ทเทรทชิ้นสำคัญจึงคาราคาซังอยู่นานครัน
วันหนึ่งฟรานเชสโก้ โจคอนด้ารำคาญขึ้นมาก็จึงบอกเมียของเขา นี่เธอ เธอไม่ต้องไปนั่งเป็นแบบอีกแล้ว พอเถอะ ส่วนค่าจ้างค่าออนที่ได้ตกลงกันไว้นั้นเขาก็จะไม่จ่ายให้เลโอนาร์โดละ แล้วไอ้ผนังห้องกินข้าวของเขาน่ะเขาก็เลยหาภาพอื่นมาแขวนไว้แทนหละ
เลโอนาร์โดก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าในบรรดาภาพเขียนทั้งหลายทั้งปวงของเขา เขารักภาพ “โมนาลิซ่า” นี้มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเขามีเหตุให้ต้องหลีกลี้หนีจากฟลอเรนซ์ไปยังปารีส เขาถึงได้อุตส่าห์หอบหิ้วภาพนี้ไปด้วย โดยที่ในระหว่างทางก็ยังมีแก่ใจคุยเฟื่องเรื่องดาราศาสตร์ให้คนขับรถม้าที่พาเขาหนีฟังไปพลางๆ พระเจ้าฟรานซิสที่ ๑ ทรงจ่ายเงิน ๕๐,๐๐๐ ยูเอสดอลลาร์โดยประมาณซื้อภาพนี้ไว้และแขวนแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ภาพนี้ก็เลยอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ยกเว้นในปี ค.ศ. ๑๙๑๑-๑๙๑๓ ซึ่งมันได้ถูกมือดีขโมยไป แต่ก็ได้คืนมาในที่สุด
ในระหว่างที่ภาพนี้หายไป มีชาวอเมริกันหกคน ซึ่งแต่ละคนต่างก็อ้างว่าตนมี “โมนาลิซ่า” ของแท้อยู่ในความครอบครอง แต่ครั้นผู้เชี่ยวชาญเขาพิสูจน์ก็ปรากฏว่าเป็นของปลอมทั้งนั้น ชาวอเมริกันทั้งหกนี้ถูกหลอกให้ซื้อ “โมนาลิซ่า” ของปลอมไปในราคาภาพละ ๓๐๐,๐๐๐ ยูเอสดอลลาร์
ลิซ่า เดล โจคอนด้า คือชื่อนางแบบ “โมนาลิซ่า” เป็นชื่อภาพพอร์ทเทรทของเจ้าหล่อน จิตรกรรมเลื่องชื่อชิ้นนี้เลโอนาร์โด ดาวินชีไม่ได้เขียนลงบนผ้าใบอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจกัน หากแต่เขียนลงบนไม้กระดานต่างหาก