รหัสคดีของวิลเลียม ฟ้อล์คเนอร์
เรืองเดช จันทรคีรี
การที่วิลเลียม ฟ้อล์คเนอร์ใช้ขนบการประพันธ์รหัสคดีมาเป็นกรอบและกลไกสร้างผลงานบ่อยครั้งด้วยความเชี่ยวชาญชี้ให้เห็นถึงการสั่งสมความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมตระกูลนี้ไว้ไม่น้อย แม้ไม่มีจดหมาย, บทความ, บทสัมภาษณ์ หรือปาฐกถาที่ฟ้อล์คเนอร์ระบุไว้โต้งๆว่าเขาชื่นชอบนิยายสืบสวนหรือเคยเปิดโผรายชื่อนักเขียนนิยายสืบสวนคนโปรดของเขา แต่ก็มีหลักฐานมากพอที่จะสนับสนุนว่าเขาสนใจนิยายสืบสวนเป็นพิเศษ
ห้องสมุดที่บ้านรอเว็น โอ๊คมีวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 30 ชื่อเรื่อง โจเซ้ฟ บร๊อดเนอร์ผู้รวบรวมรายการหนังสือของเขาเขียนว่า : ”วิลเลียม ฟ้อล์คเนอร์ก็เช่นเดียวกับแม่ของเขา ต่างเป็นนักอ่านนิยายสืบสวนตัวยง....นักสืบสำคัญและคดีคล้าสสิคมีอยู่ที่นั่น (ในห้องสมุดของฟ้อล์คเนอร์) ทั้งหนังสือปกแข็งและปกอ่อน จะเห็นเนโร โว้ล์ฟและสารวัตรเมเกรต์วางเรียงเคียงข้างผลงานของคาร์ร๎, ดิ๊คสัน, แฮมเม็ตต์, ควีน, ไรน์ฮ้าร์ท และซาเย่อร์ส๎”
จอห์น ฟ้อล์คเนอร์ผู้เป็นน้องชายก็ยืนยันเช่นกันว่าพี่ชายและแม่ของเขาชอบอ่านนิยายสืบสวนอย่างออกหน้าออกตา บนชั้นหนังสือของฟ้อล์คเนอร์มีผลงานของเร็กซ์ สเต๊าท์ 5 เรื่อง แม้ไม่มีผลงานของเมลวิลล์ เดวิดสัน โพ้สต์และของอีกหลายคน แต่เขาก็หาอ่านเรื่องสั้นของนักเขียนเหล่านี้ได้ไม่ยากอยู่แล้วจากนิตยสารชั้นแนวหน้าที่เขาเองได้ส่งผลงานไปให้พิจารณาด้วย น่าแปลกใจที่ไม่มีผลงานของโคนัน ดอยล์, เอ๊ส. เอ๊ส. แวน ไดน์ และและเรย์มอนด์ แชนด๎เล่อร์ (งานวิจารณ์ชื่อ Creative Will ที่เอ๊ส. เอ๊ส. แวน ไดน์เขียนโดยใช้ชื่อจริงมีอิทธิพลต่อหนุ่มน้อยฟ้อล์คเนอร์ และฟ้อล์คเนอร์เป็นผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์จากนวนิยาย หลับไม่ตื่น (1936) ของเรย์มอนด์ แชนด๎เล่อร์ซึ่งออกฉายในปี 1946)
วิลเลียม ฟ้อล์คเนอร์นำผลงานของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีใน 2 ด้าน ด้านแรก นวนิยายและเรื่องสั้นหลายเรื่องของเขาวางโครงสร้างจากรหัสคดีและนิยายสืบสวน ในช่วงทศวรรษ 1930 และช่วงปลายทศวรรษ 1940 เห็นได้ชัดว่าบ่อยครั้งฟ้อล์คเนอร์ใช้อาชญากรรม, ความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และความระทึกขวัญเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแก่นเรื่อง จะว่าไปแล้ว อาชญากรรมและการสืบหาความจริงเป็นหัวใจในการเล่าเรื่องของเขามาตั้งแต่งานเขียนยุคแรกๆ การบรรยายเรื่องราวโดยแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆใน The Sound and the Fury (1929) เหมือนต้องการให้ผู้อ่านทำตัวเป็นนักสืบที่ต้องหาทางปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดขึ้นเองจากชิ้นส่วนต่างๆที่ไม่สมบูรณ์
นักวิจารณ์และนักอ่านตั้งข้อสังเกตว่าเนื้อหาของ Sanctury (1931) และ Light in August (1932) ได้สำรวจขยายไปสู่ข้อเท็จจริงและแรงจูงใจเกี่ยวกับอาชญากรรมสะเทือนขวัญ—เรื่องแรกเกี่ยวกับการลักพาตัว เรื่องหลังเกี่ยวกับการฆาตกรรม ส่วน Absalom, Absalom! (1936) คลี่คลายในรูปของรหัสคดีสืบค้นวงศ์วานว่านเครือเชื่อมโยงกับการตายที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว นวนิยายดังกล่าวจัดเป็นวรรณกรรมชั้นดีระดับเดียวกับ Bleak House ของชาร์ลส๎ ดิ๊คกิ้นส์และ อาชญากรรมกับการลงทัณฑ์ ของฟโยดอร์ ด๊อสโดเย้ฟสกี้ ซึ่งได้รับการลงความเห็นว่านำเอาวิธีการสืบสวนมารับใช้เนื้อหาในขอบเขตที่กว้างกว่าและในระนาบที่เหนือกว่ารหัสคดีสูตรสำเร็จโดยทั่วไป
ร้อสส์ แม็คโดนัลด์ นักเขียนรหัสคดีที่ได้รับปริญญาเอกสาขาวรรณกรรมอังกฤษ กล่าวไว้ในปี 1954 ว่า ฟ้อล์คเนอร์ ”ช่วยสร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และจินตนาการให้กับรูปแบบของรหัสคดีได้มากกว่าใครนับตั้งแต่โป” แม็คโดนัลด์ตั้งข้อสังเกตว่า ”ชั้นเชิงการบรรยายของรหัสคดีสมัยใหม่ถักทอแนบแน่นเข้ากับเนื้อหางานของเขามาก....ตัวอย่างผลงานของเขาที่ยกมาพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าขนบของรหัสคดีใช้บรรลุเป้าหมายทางศิลปะขั้นสูงสุดได้เป็นอย่างดี” แม็คโดนัลด์เชื่อว่า Intruder in the Dust (1948) นั้น ”อาจจัดเป็นนวนิยายอเมริกันในความฝันอันสูงสุดของเราก็ได้”
อีกด้านหนึ่งที่ฟ้อล์คเนอร์เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีก็คือ เขาได้สร้างตัวละครแกวิน สตีเว่นส๎ขึ้นมาเป็นพระเอกนักสืบอเมริกัน แกวิน สตีเว่นส๎ไม่เพียงปรากฏบ่อยครั้งที่สุดในนิยายของฟ้อล์คเนอร์ หากยังมีบทบาทยาวนานที่สุดด้วย ครั้งแรกเขาถูกผู้บรรยายเอ่ยถึงในเรื่องสั้น “Hair” ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร American Mercury เมื่อเดือนมีนาคม 1931 หากนับย้อนไปไกลกว่านั้นก็ต้องเริ่มจากเรื่องสั้น “As I lay Dying” ที่เขียนขึ้นในปี 1928 แต่ไม่ได้ตีพิมพ์ เขาปรากฏตัวครั้งสุดท้ายในนวนิยาย The Mansion .ในปี 1959 จากปี 1931 ถึง 1959 แกวิน สตีเว่นส์มีบทบาทในนวนิยาย 6 เรื่องและเรื่องสั้น 8 เรื่อง
ผู้ศึกษาประวัติวรรณกรรมรหัสคดีตั้งข้อสังเกตถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องสั้นชุด แต้มหมากอัศวิน กับรวมเรื่องสั้นชุดลุงแอ๊บเน่อร์ของเมลล์วิน เดวิสสัน โพ้สต์ เมื่อเรื่องสั้น "สูตรนี้ยังมีพลาด" ลงพิมพ์นิตยสารรหัสคดี Ellery Queen's ข้อความจั่วหัวของบรรณาธิการได้ระบุถึง “ความใกล้ชิดกันมาก” ระหว่างเรื่องสั้นเรื่องนี้ของฟ้อล์คเนอร์กับเรื่องสั้นชุดลุงแอ๊บเน่อร์ หลังจากยอมรับว่า “ตลอดชีวิตฟ้อล์คเนอร์อาจจะไม่เคยอ่านเรื่องสั้นชุดลุงแอ๊บเนอร์แม้แต่เรื่องเดียว” บรรณาธิการก็แจกแจงเป็นข้อๆถึงความคล้ายคลึงกันของ “บุคลิกลักษณะตัวละคร, ฉากหลัง และอารมณ์ในการเล่าเรื่อง” ของนักเขียนทั้งสอง ท้ายที่สุดบรรณาธิการก็แถลงว่า “ใครจะไปนึกฝันว่าวิลเลียม ฟ้อล์คเนอร์ นักเขียนคนหนึ่งของอเมริกา ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญหรือตั้งใจ ได้สืบสานตำนานของลุงแอ๊บเน่อร์ นำมาสร้างเป็นลุงแกวินผู้ทันสมัยภายใต้ขนบทางวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่”
ฟ้อล์คเนอร์มอบหมายให้แกวิน สตีเว่นส์รับบทบาทที่ยืดหยุ่น ให้เขามีพื้นที่ทำงานกว้างกว่าบนโรงศาล แกวินได้กลายเป็นตัวละครสำคัญในนวนิยายยุคทศวรรษ 1950 ของฟ้อล์คเนอร์ นับเป็นตัวละครนักสืบในโลกนิยายไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องที่เป็นวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีและที่เป็นวรรณกรรมกระแสหลักของนักเขียนคนเดียวกัน
ในปี 1955 และ 1956 ฟ้อล์คเนอร์สร้างปัญหาคลุมเครือเกี่ยวกับรสนิยมการอ่านของเขาโดยการให้คำตอบที่ดูเหมือนไม่ตรงประเด็นเมื่อมีคำถามตรงๆว่าเขาชอบนิยายสืบสวนหรือไม่ เขาตอบซินเธียร์ เกรเนียร์ว่า ”เอาละ ผมชอบเรื่อง (นิยายรหัสคดี) ที่เขียนได้ดีอย่าง Iพี่น้องคารามาซ้อฟI”....”ผมคิดว่าคุณเรียนรู้อะไรได้มากมายจากเรื่องของซิเมอนง (นักเขียนนิยายสืบสวนชาวฝรั่งเศส) มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับงานของเชค้อฟ”
ขณะพยายามเลี่ยงคำถาม คำตอบของกลับขยายนิยามของรหัสคดีให้กว้างออก การนำเอาด๊อสโตเย้ฟสกี้กับเชค้อฟเข้ามารวมไว้ในฐานะนักเขียนนิยายสืบสวน/รหัสคดีนั้นเท่ากับฟ้อล์คเนอร์ได้ยกระดับวรรณกรรมตระกูลนี้ให้สูงขึ้น พร้อมกับชี้นำว่านักเขียนรหัสคดีบางคน (เช่นซิเมอนง) สามารถวัดฝีมือเทียบชั้นบรรดานักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่นำองค์ประกอบของนิยายสืบสวนมาใช้เช่นกัน ความเห็นของเขาอาจเป็นความพยายามนำตัวเองเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักเขียนที่โลกยอมรับมากกว่าจะเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักเขียนรหัสคดีอย่างโคนัน ดอยล์และเร็กซ์ สเต๊าท์ คำให้สัมภาษณ์ของฟ้อล์คเนอร์จึงไม่เพียงไม่ใช่การบ่ายเบี่ยงหรือกลัวแปดเปื้อน หากยังเป็นการยกย่องวรรณกรรมตระกูลรหัสคดีที่ไม่เกินความจริง
ผลงานโดยรวมของฟ้อล์คเนอร์เป็นเรื่องราวของครอบครัวต่างๆในเคาน์ตี้ที่เขาสร้างขึ้นจากจินตนาการโดยตั้งชื่อสมมุติว่า ”ย้อคนาพาทอว์ฟา” ว่าด้วยประเด็นปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติ, การปฏิบัติต่อคนอเมริกันเชื้อสายอั๊ฟริกันอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน, มรดกตกทอดของระบบทาส, ชนชั้นผู้ดีในภาคใต้ และการเปลี่ยนผ่านอย่างปวดร้าวจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ยี่สิบซึ่งส่งผลต่อค่านิยมและความคิดอ่านของผู้คน
ความสับสนอลหม่านในช่วงเปลี่ยนผ่านสร้างความรู้สึกใฝ่หาเสรีภาพที่มักจบลงด้วยความผิดหวัง สถานการณ์มักพาไปสู่ความรุนแรง และต่อจากนั้นก็กลายเป็นวัตถุดิบสำหรับเขียนนิยายสืบสวนและอาชญนิยายที่เรียกรวมๆกันว่าวรรณกรรมตระกูลรหัสคดี
-----------------------------------------------
ชมภาพยนตร์ "สูตรนี้ยังมีพลาด" สร้างจาก 1 ในเรื่องสั้นชุด แต้มหมากอัศวิน