ผู้สัมภาษณ์: …นิยายสืบสวนของอเมริกันประเภทรหัสคดีบู๊เป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีคุณค่าแหล่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด. ตอนไหนที่คุณเปิดใจให้กับงานสกุลนี้และใครเป็นผู้ชักนำให้คุณหันไปสนใจ
มูราคามิ: ตอนเป็นนักเรียนระดับมัธยมปลาย, ผมหลงรักนวนิยายอาชญากรรม. ผมอยู่ในโกเบ ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ชาวต่างชาติและพวกลูกเรือจำนวนมากแวะมาและขายหนังสือปกอ่อนของพวกเขาให้กับร้านหนังสือมือสอง. ผมไม่ค่อยมีตังค์, แต่ก็หาซื้อหนังสือปกอ่อนได้ในราคาถูก. ผมเรียนภาษาอังกฤษจากหนังสือพวกนี้ และนั่นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก.
.
ผู้สัมภาษณ์: หนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกที่คุณอ่านคือเรื่องอะไร
มูราคามิ: The Name Is Archer, ของร้อสส์ แม็คโดนัลด์. ผมเรียนรู้อะไรมากมายจากหนังสือพวกนั้น. ทันทีที่ผมเริ่มอ่าน, ผมก็หยุดไม่ได้. ในเวลาเดียวกันผมก็รักที่จะอ่านตอลสตอยกับด๊อสโตเย้ฟสกี้ด้วย. หนังสือพวกนี้ก็อ่านได้รวดเร็วเหมือนกัน; แต่ละเรื่องยาวมาก, แต่ผมหยุดอ่านไม่ได้เลย. สำหรับผมจึงเหมือนกัน, ไม่ว่าด๊อสโตเย้ฟสกี้หรือเรย์มอนด์ แชนด๎เล่อร์. แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้, อุดมคติของผมในการเขียนนิยายก็คือเอาด๊อสโตเย้ฟสกี้กับแชนด๎เล่อร์มารวมไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน. นั่นเป็นเป้าหมายของผม
.
ผู้สัมภาษณ์: ตอนอายุเท่าไหร่ที่คุณเริ่มอ่านค้าฟก้า
มูราคามิ: ตอนอายุสิบห้า. ผมอ่าน ปราสาท (The Castle); นั่นเป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง. แล้วก็ คดีความ (The Trial).
.
ผู้สัมภาษณ์: ตรงนี้น่าสนใจ. นวนิยายทั้งสองเรื่องเขียนไม่จบ, แน่นอนละว่านั่นหมายถึงมันไม่เคยมีบทสรุป; นวนิยายของคุณก็เช่นเดียวกัน—โดยเฉพาะหนังสือเรื่องหลังๆของคุณหลายเรื่อง, อย่างเรื่อง บันทึกนกไขลาน (The Wind-Up Bird Chronicle)—ดูเหมือนมักจะต่อต้านการคลี่คลายให้มีบทสรุปชนิดที่นักอ่านอาจจะคาดหวังได้. นั่นพอจะเรียกว่ามีอิทธิพลมาจากงานของค้าฟก้าได้หรือไม่
มูราคามิ: ไม่ใช่ทั้งหมด. แน่นอน คุณเคยอ่านเรย์มอนด์ แชนด๎เลอร์. หนังสือของเขาไม่มีการลงเอยจริงๆจังๆ. เขาอาจจะบอก, คนนั้นคนนี้เป็นฆาตกร, แต่สำหรับผมแล้วไม่สำคัญว่าใครจะเป็นฆาตกร. มีฉากที่น่าสนใจมากๆอยู่ฉากหนึ่งตอนที่เฮาเวิร์ด ฮ้อคส์สร้างภาพยนตร์จากเรื่อง หลับไม่ตื่น (The Big Sleep). ฮ้อคส์ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครฆ่าคนขับรถ, เขาเลยโทร.ไปหาแชนด๎เล่อร์และถาม, แล้วแชนด๎เล่อร์ก็ตอบว่า, ผมไม่สนใจ! ก็เช่นเดียวกับผม. บทสรุปไม่มีความหมายอะไร. ผมไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นฆาตกรในเรื่อง พี่น้องคารามาซ้อฟ.
.
ผู้สัมภาษณ์: แต่ถึงกระนั้นความปรารถนาที่จะค้นหาว่าใครฆ่าคนขับรถก็มีส่วนทำให้ หลับไม่ตื่นอ่านแล้ววางไม่ลง.
มูราคามิ: ตัวผมเอง, ขณะที่กำลังเขียน, ไม่รู้หรอกว่าใครทำอะไร. ผู้อ่านกับผมอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน. เมื่อผมเริ่มเขียนนิยายเรื่องหนึ่ง, ผมไม่รู้แม้แต่น้อยว่าตอนจบจะเป็นยังไง และไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในลำดับต่อไป. ถ้ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเป็นสิ่งแรก, ผมก็ไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร. ผมเขียนหนังสือเพราะผมอยากจะค้นหาคำตอบ. ถ้าผมรู้ว่าฆาตกรเป็นใครเสียก่อนแล้ว, ก็จะไม่เหลือเป้าหมายในการเขียนเรื่องนั้น.
-----------
ฮารูกิ มูราคามิอ่านนวนิยายภาษาอัง
พ่อของเขาเป็นครูสอนวรรณกรร
เขาต่อต้านความเชื่อนี้ด้วย
ทั้งนิยายสืบสวนและนิยายวิท
"ตอนผมอายุ15,16 ผมไม่ค่อยมีเงิน ผมต้องไปร้านขายหนังสือมือส
.
มูราคามิแปล The Long Goodbye เป็นภาษาญี่ปุ่นตีพิมพ์ออกม
เป็นภาษาญี่ปุ่นสำนวนที่ 2
สำนวนแรก โชจิ ชิมิซุ แปลไว้ตั้งแต่ปี 2501
สำนวนแปลของมูราคามิยาวกว่า
เขาพยายามฟังสำเนียงภาษาของ