สำนักพิมพ์เคมบริดจ์ สกอล่าร์ส๎ได้จัดพิมพ์สรรพนิพนธ์ของอาร์เธ่อร์ โคนัน ดอยล์ออกมาจำนวน 56 เล่ม นับความหนารวมกันได้ประมาณ 11,000 หน้า และคิดเป็นน้ำหนักรวม 16 กิโลกรัม
แน่นอน หนังสือสำรับใหญ่ไม่ได้บรรจุไว้เฉพาะผลงานที่สร้างความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลให้ผู้เขียน--นั่นคือบุพคัมภีร์เชอร์ล็อค โฮล์มส๎ ซึ่งประกอบด้วยนวนิยาย 4 เรื่องและเรื่องสั้น 56 เรื่อง
นอกจากจะรวมนิยายที่มีตัวละครต่อเนื่องชุดศาสตราจารย์แชลเลนเจ้อร์และชุดพันเอกเอเตียนน์ แยราด์ไว้แล้ว ยังมีบรรดานวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องสำคัญๆที่ผู้เขียนเห็นว่าได้สร้างความสำเร็จยิ่งใหญ่ให้ตัวเองเช่นกัน
อาทิเช่น The White Company ที่ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.1891 โดยผู้เขียนกล่าวว่า ",มันจะฉายให้เห็นจารีตนิยมแห่งชาติของเราอย่างกระจ่าง" และหรือ Sir Nigel ที่ตีพิมพ์ในอีก 15 ปีต่อมาโดยผู้เขียนเชื่อว่า "ในความเห็นส่วนตัวถือเป็นงานวรรณกรรมช่วงรุ่งโรจน์ของผม"
แม้มีหลักฐานชัดเจนเป็นองค์พยานว่าเขาได้สร้างผลงานฝากวงวรรณกรรมภาษาอังกฤษไว้อย่างหลากหลายและมากมายมหาศาล แต่โลกก็ไม่ยอมรู้จักโคนัน ดอยล์ในฐานะอื่นนอกเหนือจากผู้ให้กำเนิดอภิมหานักสืบอมตะนิรันดร์กาล
มาถึงปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยเอกฉันท์แล้วว่า เชอร์ล็อค โฮล์มส๎เป็นตัวละครในนิยายที่โด่งดังที่สุดเท่าที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา
เป็นตัวละครที่ไม่เพียงฆ่าไม่ตายทำลายไม่หมด หากยังอวตารแตกหน่อต่อยอดออกไปในรูปแบบต่างๆไม่สิ้นสุด
นับแต่หลวงนัยวิจารณ์ (เปล่ง ดิษยบุตร์) แปลเรื่องสั้นบุพคัมภีร์ “The Adventure of the Second Stain” เป็นไทยในชื่อ “รอยที่สอง” ลงพิมพ์ในนิตยสาร ผดุงวิทยา เมื่อ พ.ศ.2456 ในรอบเกือบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมานักอ่านชาวไทยก็รู้จักโคนัน ดอยล์ในฐานะผู้ให้กำเนิดเชอร์ล็อค โฮล์มส๎แต่เพียงฐานะเดียวเช่นกัน
ทั้งๆที่หลวงนัยวิจารณ์ได้นำเรื่องสั้นชุดพันเอกเอเตียนน์ แยราด์ของนักเขียนคนเดียวกันมาแปลลงเป็นตอนๆใน ผดุงวิทยา ต่อจาก “รอยที่สอง” ทันทีโดยตั้งชื่อชุดว่า ทหารพระเจ้านะโปเลียน และแม้ภายหลัง “สันตสิริ” ได้รื้อฟื้นแปลเรื่องสั้นหรรษาอิงพงศาวดารฝรั่งเศสชุดนี้ใหม่จนจบบริบูรณ์ทั้ง 18 ตอน รวมพิมพ์ครั้งแรกใน พ.ศ. 2487 แล้วพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง แต่มาถึงบัดนี้ดูเหมือนชื่อเอเตียนน์ แยราด์จะไม่อยู่ในซอกหลืบการรับรู้ของนักอ่านรุ่นใหม่บ้านเรา
รวมเรื่องสั้นชุด เรื่องเล่าแต่เก่าก่อน มุ่งสืบเสาะหาเบาะแสอันเป็นหวอดกำเนิดนักสืบสำคัญจากร่องรอยที่โคนัน ดอยล์ได้สร้างไว้เป็นหลักฐาน
ในเมื่อ สืบคดีสีเลือด อันเป็นปฐมบทแห่งบุพคัมภีร์ไม่ใช่นิยายที่เขาเขียนเป็นเรื่องแรก การตามแกะรอยจึงทำได้ไม่ยากเย็น นั่นคือตรวจสอบจากผลงานที่เขาเขียนขึ้นก่อนหน้านั้น ไม่ว่าเรื่องเหล่านั้นจะได้รับการตีพิมพ์ก่อนหรือหลังเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1887--ซึ่งเป็นวาระการพิมพ์ สืบคดีสีเลือด ครั้งแรก--หรือไม่ก็ตาม
โคนัน ดอยล์เริ่มมีผลงานสู่สาธารณะเมื่ออายุ 20 ปี ขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยเอดินบะระห์ ผลงานเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์คือ "หุบเขาลึกลับซาซัสซ่า" ("The Mystery of Sasassa Valley") ลงในนิตยสาร แชมเบ้อร์ส 'ส๎ เจอร์นั่ล ฉบับวันที่ 6 กันยายน ค.ศ.1879 รหัสคดีเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจาก "The Gold Bug" ของเอ๊ดก้าร์ แอลแลน โปที่เคยโด่งดังในฐานะเรื่องสั้นชนะเลิศการประกวดเมื่อปี 1843
เขารับงานเป็นศัลยแพทย์ประจำเรือใหญ่สองครั้ง--ครั้งแรกเดินทางไปอ๊าร์คติค ครั้งหลังไปถึงฝั่งตะวันตกของแอ๊ฟริกา นอกจากจะช่วยผ่อนเพลาด้านการเงินแล้ว ยังเป็นโอกาสให้เขาได้เก็บสะสมวัตถุดิบสำหรับเขียนเรื่องผจญภัยในเวลาต่อมา
ในปี 1882 หลังจากมีเรื่องบาดหมางกับเพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนแล้ว ดอยล์ได้แยกไปเปิดสำนักงานจักษุแพทย์ของตัวเองที่พอร์ตสมัธ ผู้เชี่ยวชาญโรคทางตายังไม่เป็นที่นิยมมากนัก ดอยล์จึงเติมเต็มเวลาว่างด้วยการเขียนหนังสือ
ผลงานยุคแรกของดอยล์ที่ได้รับการตีพิมพ์มักไม่มีชื่อของเขากำกับในฐานะผู้เขียน ซึ่งเป็นไปตามประเพณีปฏิบัติของนิตยสารรายสัปดาห์และรายเดือนสมัยนั้น บางครั้งจึงถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลงานของนักเขียนคนอื่น
ดังเช่นที่เกิดกับเรื่อง "ถ้อยแถลงของเจ. ฮาบาคุค เจ๊ฟสัน" ("J. Habakuk Jephson's Statement") ในปี 1884 ดอลย์วางโครงเรื่องโดยอาศัยเหตุการณ์ลึกลับที่เกิดขึ้นจริงกับเรือพาณิชย์ แมรี่ ซีเล้สต์ ในปี 1872 มันถูกพบกางใบลอยลำในมหาสมุทรแอ๊ตแลนติค เสบียงอาหารยังเพียบพร้อม แต่เรือชูชีพ, ปูมเดินเรือ และที่สำคัญคือลูกเรือทั้งหมดไม่หลงเหลืออยู่เลย
นักวิจารณ์คนหนึ่งหาเหตุผลมาพิสูจน์ว่าเรื่องนี้เป็นผลงานของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ขณะที่บางคนนำไปเปรียบเทียบกับสำนวนลีลาของเอ๊ดก้าร์ แอลแลน โป ความจริงเมื่อพิจารณาจากแนวคิดแล้ว "ถ้อยแถลงของเจ. ฮาบาคุค เจ๊ฟสัน" ควรจะเป็นหนี้นวนิยายขนาดสั้น "Benito Cereno" ของเฮอร์มาน เมลวิลล์ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการก่อกบฏของทาสในเรือสินค้าสเปน
ทศวรรษที่ 1860 และ 1870 เรื่องผีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในหน้านิตยสารสำหรับชนชั้นกลางของอังกฤษ โดยเฉพาะในฉบับต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ปริมาณและคุณภาพของเรื่องผีที่ปรากฏออกมาระหว่างทศวรรษ 1880-1930 ทำให้ห้วงครึ่งศตวรรษนั้นกลายเป็นยุคทองของวรรณกรรมตระกูลสยองขวัญ หนุ่มดอลย์ผู้เริ่มต้นสร้างผลงานในช่วงปลายทศวรรษ 1870 ยากจะเลี่ยงพ้นกระแสครอบงำของตลาด
รหัสคดีบางเรื่องที่นำมารวมไว้ใน เรื่องเล่าแต่เก่าก่อน มีกลิ่นอายวรรณกรรมสยองขวัญผสมอยู่ในสัดส่วนที่เกือบจะล้นเกิน
นักเขียนยุคแรกหลายคนที่สร้างชื่อด้วยงานตระกูลรหัสคดีเป็นสำคัญก็ยังเขียนเรื่องผีควบคู่ไปด้วย ไม่แปลกเลยที่โปผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งรหัสคดีจะเป็นเจ้าแห่งนิยายสยองขวัญอีกฐานะหนึ่ง ในขณะที่โคนัน ดอยล์สร้างให้เชอร์ล็อค โฮล์มส๎เป็นนักสืบซึ่งสามารถใช้เหตุผลไขคดีได้อย่างเฉียบคม แต่ตัวผู้เขียนเองกลับเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างฝังหัว
นักวิชาการเชอร์ล็อค โฮล์มส๎สันนิษฐานเป็นหลายทาง บางคนเชื่อว่ามันเป็นเรื่องแต่งเรื่องแรกของดอยล์ด้วยซ้ำ แต่หลักฐานที่เชื่อถือได้มากกว่ายืนยันว่าเขาเขียนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 1884 เมื่อพิจารณาจากโครงเรื่องและฉากเทียบเคียงกับ "เรื่องเล่าของสารถี" ("The Capman's Story") ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม 1884 แล้ว "ความทรงจำของกัปตันวิลกี้" น่าจะเขียนหลังจากนั้นหลายเดือน
สองหนุ่มคู่หูใน "ครอบครัวของลุงเจเรมี่" มีทั้งส่วนที่เหมือนกันและกลับข้างกันกับคู่หูในบุพคัมภีร์ เสียงเล่าจากมุมมองบุรุษที่หนึ่งซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ชื่อฮิ้วจ์ ลอว์เร้นซ์นั้นเทียบได้กับ นพ.วัตสัน แต่ทำตัวเป็นนักสืบและมีนิวาสสถานอยู่ที่ถนนเบเก้อร์ ส่วนจอห์น เอ๊ช. เธิร์สตั้นซึ่งทั้งมีชื่อใกล้เคียงและมีนิสัยละม้าย นพ.จอห์น เอ๊ช. วัตสันกลับกลายเป็นนักเคมีที่กระตือรือร้นไม่แพ้โฮล์มส์
การสร้างตัวเอกฝ่ายหญิงอย่างมีมิติให้เธอเป็นสาวงามทรงเสน่ห์แต่จิตใจเหี้ยมหาญมุ่งมั่นจะใช่ต้นแบบของไอรีน แอ๊ดเล่อร์ที่ดอลย์สร้างขึ้นเป็นขวัญใจนักสืบเอกผู้ยิ่งใหญ่ของเขาในภายหลังหรือไม่ ผู้อ่านที่เป็นสาวกโฮล์มส์จะหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง