ปู่ของอัลดัส ฮักซ์เลย์ คือโธมัส ฮักซ์เลย์)เป็นผลผลิตของอังกฤษสมัยใหม่ที่หันไปในทางวิทยาศาสตร์เพื่อต่อต้านคริสตศาสนาและเทววิทยา เขาสนับสนุนทฤษฎีเรื่องการคลี่คลายขยายตัวของมนุษยชาติที่มาจากวานรตามแนวทางของดาวิน แม้พ่อเขาจะไม่มีชื่อเสียง แต่ก็ส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนดีๆและเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยที่การเข้ามหาวิทยาลัยในสมัยก่อนหน้านี้เป็นอภิสิทธิ์ของชนชั้นสูงหรือพวกลูกนักบวชในนิกายอังกฤษเท่านั้น
พี่ของอัลดัสก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำ(จูเลียน ฮักซ์เลย์)และเป็นเลขาธิการคนแรกของ UNESCO หรือองค์การทางด้านการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ แต่อัลดัสแหวกแนวพี่ชายออกไปสนใจทางด้านพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ตลอดจนลัทธิเต๋าและขงจื๊อ ทั้งๆที่มีความรู้ดีมากทางอารยธรรมตะวันตก แม้ศาสนาคริสต์เขาก็มีทัศนะในทางที่ดีเกี่ยวกับรหัสยนัยอันลึกซึ้งของศาสนานั้น ดังเขาเอ่ยถึงนักบุญออกัสตินซึ่งมีวิทยานิพนธ์เป็นสดมภ์หลักของคริสตศาสนาว่า เมื่อท่านผู้นั้นได้รับประสบการณ์จากพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงก็เลยเลิกเขียนอะไรๆอีกต่อไป เป็นอันว่าที่นักเทววิทยาพยายามศึกษางานของท่านผู้นั้น ผลงานนั้นๆเป็นของตาย หากสิ่งซึ่งมีชีวิตชีวาจากพระคุณท่านใครๆก็เข้าถึงไม่ได้ เว้นไว้แต่จะได้ภาวนาอย่างลึกซึ้งโดยปราศจากการใช้ความคิดทางหัวสมองด้วยประการทั้งปวง
สำหรับคนรุ่นข้าพเจ้าที่ไปเรียนอังกฤษเมื่อกึ่งศตวรรษมาแล้วนั้น เห็นว่าอัลดัส ฮักซ์เลย์แหวกแนวด้วยการเข้าถึงภาวนามัยปัญญาอย่างนอกทางของศาสนาออกไป ถึงกับใช้กัญชา ยาเมา และ LSD โดยที่นักเขียนอังกฤษก่อนหน้านี้ที่ใช้ฝิ่นก็มีมาก่อนแล้ว เช่น Hazlitt เป็นต้น แต่ฮักซ์เลย์ศึกษา ภควัทคีตา และเซน ตลอดจนคัมภีร์มรณศาสตร์ของธิเบตอีกด้วย เขาสนใจชีวิตนี้เท่าๆกับโลกหน้า รวมถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
เขาเขียนบทความและสารคดีเป็นเล่มไม่แพ้นวนิยาย และท้าทายโลกตะวันตกอยู่มาก โดยเฉพาะก็ Brave New World ซึ่งมีอิทธิพลก่อน 1984 และ Animal Farm ของย๊อร์ช ออร์เวลล์
สมัยข้าพเจ้าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่อังกฤษ The Perennial Philosophy ที่เขารวบรวมปรัชญาจากเอเชียและยุโรปมาลงพิมพ์ไว้เป็นเล่ม นับว่ามีประโยชน์มาก เพราะสมัยนั้นหาหนังสือทางพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์ ขงจื๊อ และเต๋า อ่านได้ยาก หากเล่มนี้ทอนเอาคำสอนนั้นๆ มารวมไว้กับปรัชญาในทางศาสนาที่ลึกซึ้งของตะวันตกด้วย
สำหรับเรื่อง Doors of Perception ของเขานั้นเป็นการบรรยายถึงการรับรู้นอกเหนือหัวสมองออกไปในทางหัวใจ หากใช้เครื่องกระตุ้นสมองหรืออารมณ์ให้รับรู้ความวิเศษมหัศจรรย์ต่างๆ ในทางจิตวิญญาณ คล้ายกับพวกติดฝิ่น ติดยาบ้า ยาม้า ก็ว่าได้ หากสุขุมกว่า ดังเขาสนใจพ่อมด หมอผี และคนทรง โดยเขายืนยันว่าการติดต่อกับอีกโลกหนึ่งนั้น อาจรับรู้ได้ตามทางของวิทยาศาสตร์อีกด้วย
เขาเองตาเกือบบอดแต่ตอนยังเยาว์ หากเขาเข้าหานายแพทย์นอกกระแสหลัก และใช้นัยวิธีที่เรียกว่า Bates Method ฝึกปรือจนมองเห็นได้ ดังเขาเขียนเล่าไว้ในเรื่อง The Art of Seeing อัลดัส ฮักซ์เลย์ อพยพจากอังกฤษไปอยู่อิตาลีจนรู้ภาษานั้นดี แล้วไปตั้งรกรากอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เขาเป็นนักสอน นักปาฐกถา นักอภิปรายทางโทรทัศน์ วิทยุ ฯลฯ นับว่าเขาเป็นคนมีชื่อเสียงสำคัญคนหนึ่งในสมัยของเขา โดยเขาได้ใช้ชีวิตของตนเองทดลองในเรื่องเกิดตาย เผชิญความเจ็บและความตายอย่างน่าสนใจนัก
เมื่อเมียคนแรก(มาเรีย)ตายจากไป เขามาได้เมียคนที่สองซึ่งสาวกว่ามาก ลอร่า) เธอผู้นี้เป็นนักจิตวิเคราะห์ สนใจเรื่องคนทรงและเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์คล้ายๆสามี ทั้งเธอยังรักสามีมาก ดังเธอได้เขียนเล่าประวัติเขาจากแง่มุมของผู้ร่วมชีวิตอย่างน่าสนใจนัก(This Timeless Moment: A Personal View of Aldous Huxley by Laura Huxley) เล่าเรื่องชีวิตคู่และพรรณนารายละเอียดในเรื่องการเผชิญความเจ็บความตายของสามีอย่างน่าอ่าน
อัลดัสเป็นคนรุ่นไล่ๆกับเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ซึ่งสนใจแต่ปรัชญาตะวันตก และอะไรที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้รัสเซลไม่สนใจเลย แต่แล้วชีวิตส่วนตัวของรัสเซลล์นั้นน่าเกลียดกว่าของอัลดัสมาก อัลดัสเต็มไปด้วยเมตตากรุณาและมองกว้างออกไปและลึกลงไปในทางรหัสยนัย อย่างที่รัสเซลล์ไม่มีแนวโน้มไปในทางนั้นเลยแม้ต่างก็เป็นคนสำคัญด้วยกันทั้งคู่
รัสเซลล์เป็นอภิชนมาหลายชั่วคน ในขณะที่อัลดัส ฮักซ์เลย์เป็นปัญญาชนชั้นใหม่ ในชั่วคนที่สามเท่านั้นเอง และเป็นชนชั้นกลางที่เคยร่วมแวดวงกับพวกบลูมสเบอรี่ ซึ่งสืบทอดมาจากเลสเล่ย์ สตีเฟ่น ซึ่งก็เป็นปัญญาชนชั้นใหม่รุ่นไล่ๆกัน แต่พวกบลูมสเบอรี่ไม่มีเวลาให้กับภาวนามัยปัญญา หรือรหัสยนัยเอาเลย หากเน้นไปในทางศิลปวรรณคดีและการเมือง ทางด้านสังคมนิยม โดยที่อัลดัสก็มีแนวโน้มไปในทางนี้ด้วย หากเขาแหวกแนวอย่างต่างไปจากคนร่วมสมัยด้วยประการทั้งปวง
อัลดัส ฮักซ์เลย์ตายวันเดียวกับที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกฆ่า(22 พฤศจิกายน 2506) จัดงานศพอย่างง่ายๆตามคำสั่งของเขาโดยไม่มีใครร่วมด้วยเลย สิ้นเงินค่าเผาศพไปเพียง 328.50 เหรียญสหรัฐฯ นับว่าถูกที่สุดในสหรัฐฯสมัยนั้น หลังจากปลงศพเสร็จแล้ว บุตรภรรยาจึงบอกให้ญาติมิตรและสื่อมวลชนทราบถึงการจากไปของเขา