ไม่ธรรมดา เมื่อผลงานรวมเรื่องสั้น 2 เล่มแรกของนักเขียนคนหนึ่งเข้ารอบ shortlist ซีไรต์
ปี 2554 บันไดกระจก เข้ารอบ shortlist
ปี 2563 ในโลกเล่า เข้ารอบ shortlist
และนี่คือนวนิยายเรื่องแรกของเขา
ดำดิ่งสู่เบื้องบน
โดย วัฒน์ ยวงแก้ว
นวนิยายเรื่องแรกของนักเขียนรางวัลช่อการะเกดและรางวัลชนะเลิศพานแว่นฟ้า 2 สมัย
ผจญภัย: พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2564
| ขนาดพ็อคเก๊ตบุ๊ค (10.5 x 17.5 ซม.) | หนา 312 หน้า | ปกแข็ง | เนื้อในพิมพ์ขาว-ดำ กระดาษถนอมสายตา 75 แกรม |
ราคาปก 445 บาท
เรื่องสั้นที่ส่งเข้าประกวดรางวัลพานแว่นฟ้าประจำปี 2564 มี 403 เรื่อง
เรื่องสั้น 'มือเย็น' ของ วัฒน์ ยวงแก้ว ได้รับรางวัลชนะเลิศ
นอกจากโล่รางวัลพานแว่นฟ้าจากประธานรัฐสภา
แล้วยังมีเงินรางวัล 60,000 บาท
เมื่อวานซืน- 28 กันยายน-มีพิธีมอบรางวัลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ไปเรียบร้อยแล้ว
วัฒน์ ยวงแก้วคงไม่ตื่นเต้นกับการได้รับรางวัลพานแว่นฟ้าครั้งนี้มากนัก
เขาคุ้นเคยกับพานแว่นฟ้าในฐานะนักเขียนที่มีโอกาสคว้ารางวัลทุกครั้งที่ส่งผลงานเข้าประกวด
ปีที่แล้ว เรื่องสั้น “เส้นแบ่ง” ของเขาได้รางวัลรองชนะเลิศที่มีเงินมอบให้ 40,000 บาท
และเมื่อย้อนหลังกลับไปนานกว่านั้น
ในปี 2551 เรื่องสั้น "สะพาน" ของวัฒน์ ยวงแก้วชนะเลิศรางวัลพานแว่นฟ้า
มาถึงวันนี้ไม่มีใครปฏิเสธฝีมือการเขียนเรื่องสั้นของวัฒน์ ยวงแก้วได้
นอกจากรางวัลพานแว่นฟ้าที่เป็นเวทีประกวดเรื่องสั้นเรื่องเดียว
ในเวทีประกวดรวมเรื่องสั้นซีไรต์ ผลงาน 2 ชุดแรกของวัฒน์ก็เข้าถึงรอบสุดท้าย
ผลงานรวมเรื่องสั้น 2 เล่มแรกของวัฒน์ที่เคยเข้ารอบ shortlist ซีไรต์
ปี 2554 บันไดกระจก เข้ารอบ shortlist
ปี 2563 ในโลกเล่า เข้ารอบ shortlist
.
-----------------------------------------------
คำประกาศ : ดำดิ่งสู่เบื้องบน
นวนิยายเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ประจำปี 2564
นวนิยายชื่อแปลกที่โดดเด่นและสดใหม่ทั้งด้านเนื้อหาและกลวิธีการนำเสนอ เล่าเรื่องราวการทับซ้อนแห่ง ‘ตัวตน’ ของตัวละครที่อุดมไปด้วยความประหลาดพิสดารผ่านน้ำเสียงอันหลากหลาย ใช้กลเม็ดการประพันธ์แบบสหบท แบ่งเรื่องราว แต่ละบทออกเป็นสามส่วนเรียงขนานกันอย่างชวนพินิจเทียบเคียง
ส่วนแรก ‘ตัวตน’ เล่าเรื่องราวของชายหนุ่มที่ย้ายเข้ามาอาศัย ณ หอพักย่านมหาวิทยาลัย และได้ผูกสัมพันธ์กับสตรีและเด็กชายที่พำนักอยู่ใต้ชายคาเดียวกันจนเกิดเป็น ‘ครอบครัว’ ในความหมายใหม่ ส่วนที่สอง ‘เวลา’ ย้อนเล่าประวัติศาสตร์แห่งถิ่นที่บรรพบุรุษท่ามกลางสวนยางพาราของเด็กหนุ่มวัยสิบสองปีที่อาศัยอยู่กับบิดาและแม่เลี้ยง สืบทอดสายเลือดแห่งตราบาป และความวิปริตอาฆาตแค้นที่ย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล และส่วนสุดท้าย ‘ที่อาศัย’ กับภาพหลอนของตึกแถวร้างสองฝั่งข้าง กับผู้อยู่อาศัยนิรนาม ตามคำถ่ายทอดของตัวละคร 'ผู้เล่าเรื่อง' บรรยายถึงพฤติกรรมสยองขวัญอันไร้ชีวิต ปราศจากคำ อธิบายของสมาชิกในแต่ละคูหา
ลีลาการประพันธ์ของผู้เขียนไหลเลื่อนจากแนว ‘สัจนิยม’ ในส่วนแรก สู่แนว ‘สัจนิยมมหศัจรรย์’ ในส่วนที่สอง ไปสู่ความ ‘มหศัจรรย์’ โดยสมบูรณ์ในส่วนสุดท้าย ใช้บุรุษและเสียงเล่าที่หลากหลาย ทั้งสรรพนาม ‘คุณ’ ‘ผม’ ‘นักเล่าเรื่อง’ ‘เสียง’ และ ‘ตัวอักษรเขียน’ มาสร้างมิติชั้นของเนื้อเรื่องแต่ละส่วนได้อย่างลุ่มลึกและแพรวพราว ผูกโยงเรื่องราวที่เหมือนจะไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรง ด้วยชุดสัญลักษณ์ ทั้งเสียงร้องจากแมวของชโรดิงเจอร์ หน้ากากยอดมนุษยและพระโมคคัลลานะ สะท้อนการหลอนเลือนระหว่างตัวตนบนใบหน้าของผู้สวมใส่ได้อย่างแยบยลจนน่าสะพรึง
ชื่อนวนิยาย ดำดิ่งสู่เบื้องบน ใช้ 'คู่คำขัดความ' แบบปฏิพจน์ แสดงภาพความลักลั่นย้อนแย้งแห่งตัวตนของบุคคลต่างๆ ในเนื้อหาได้อย่างดี ผลงานที่จะนำพาผู้อ่าน 'ดำดิ่ง' ไปสู่ความฉงนฉงาย พร้อมๆ กับการบินไต่ไปสู่ 'เบื้องบน' จนจรดเส้นขอบฟ้าแห่งบรรณพิภพวรรณกรรมไทย แสดงพลังความริเริ่มสร้างสรรค์สู่พื้นที่พรมแดนใหม่ๆ ในรูปแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน